จิตก้าวเดิน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันพระวันทำบุญกุศลนะ วันพระเป็นการหยุดงาน ทำงานเพื่อหัวใจด้วย วันปกติเราทำงานเพื่อร่างกาย ร่างกายเราทำงานขึ้นมานี่ เห็นไหม ทำงานขึ้นมาเพื่อได้ทรัพย์สมบัติมา เพื่อแลกไปเป็นอาหารของเรา แต่วันพระนี่ทำบุญกุศลไปเพื่อให้ได้บุญกุศลมาเลี้ยงใจของเรา
อาหารของร่างกายกินทางปาก อาหารบุญกุศลกินทางใจ กินทางใจ เห็นไหม ถึงว่ากรรม เจตนา เห็นไหม ดูกรรม ดูเจตนาที่ทำ การกระทำของร่างกายนี่ ถ้าทำเป็นโลกไป มันทำเหมือนโลกของเขา แต่ถ้าทำเป็นบุญกุศล นี่บุญกุศลนะ
เราคิดขึ้นไปนี่ ทางโลกคิดแล้วหัวใจมันก็ฟุ้งไปเรื่อย คิดไปเรื่อย แล้วมันเคยทำมันก็จะกระทำมากไปเรื่อย ๆ แต่ทำบุญกุศลสินาน ๆ ทำทีนี้เช่น วันพระนี่ พอคิดถึงบุญกุศล เห็นไหม เจตนาอันนี้บุญอยู่ที่เจตนาไง เจตนามันฝังถึงใจ มันเข้าถึงใจ พอออกจากใจนี่ ทำสักแต่ว่าทำ
นี่การศึกษาธรรมมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งศึกษาธรรมเข้ามาแล้วมันเป็นประโยชน์กับเรา เรารู้วิธีการ เห็นไหม พอรู้วิธีการ เข้าถึงไง เข้าถึงสัจจะ ศีล สมาธิ ปัญญา ทานก่อน แล้วทำอย่างไร แต่ทำใหม่ ๆ มันก็สักแต่ว่าทำไปเรื่อย ๆ สักแต่ว่าทำไปก่อน แต่ทำไป ๆ นี่ มันจะเริ่มรู้สึกเข้าไปว่า เอ๊..ทำแล้วมันสบายใจ ความสบายใจ ความตั้งใจ ความจงใจเกิดขึ้น เห็นไหม บุญกุศลมันจะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ทำสักแต่ว่าทำ
เหมือนกับเรานี่เห็นไฟ เห็นไหม ถ้าเด็กไม่รู้ว่าไฟ ก้อนถ่านไฟแดง ๆ นี่เราจับเต็มมือเลย ว่าจับเต็มมือนี่มันมีเจตนาไหม? อย่างนี้ไม่ใช่เป็นกรรมสิ เราทำความผิดเหมือนกัน ทำสิ่งที่เราไม่รู้เราทำความผิดไป เวลาทำนี่เราทำด้วยความเต็มใจ...เราไม่ใช่เต็มใจ เราทำด้วยความไม่รู้นี่ มันก็ทำด้วย.. เจตนานี่มันเต็ม ๆ เพราะมันไม่รู้เรื่อง มันก็ทำไปตามความคิดของตัวเองนั่นน่ะ
แต่พอรู้ขึ้นมานี่ มันมีความจำเป็นต้องทำ เห็นไหม ความจำเป็นต้องเขี่ยถ่านนี้ออกไปนี่ มันใช้เขี่ยออกไป มันจะจับมันก็ค่อยจับ มันไม่รู้หรอก นี่ศึกษาธรรมมีประโยชน์ตรงนั้น ประโยชน์ตรงที่ว่ามันเข้าใจว่าอะไรเป็นบุญเป็นบาป พอเป็นบุญเป็นบาป ถึงคนเรานี่ มันมีสูง ๆ ต่ำ ๆ คนเราไม่แน่นอนนะว่าจะประสบแต่ความสำเร็จ จะมีคนมาเกื้อหนุนเราตลอดไป ถึงคราวไปนี่ มันต้องไปเจออุปสรรคแน่นอน
ดูอย่างวินัยของสงฆ์สิ บอกเลยนะ ภิกษุนี่ห้ามพรากของเขียว ภิกษุพรากของเขียวเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่... ฟังสิ เว้นไว้แต่งูกัด เว้นไว้แต่มีความจำเป็น ให้ภิกษุนี่พรากของเขียวได้ เพราะของเขียวนี่มันเป็นยาไง ถ้าปกติเราไปพรากของเขียวนี่เป็นอาบัติปาจิตตีย์ทำไม่ได้ แต่เว้นไว้แต่งูกัด เว้นไว้แต่มีเหตุจำเป็นนี่ เว้นไว้แต่เพื่อชีวิต เห็นไหม
นี่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ หมายถึงว่า ถ้าเราจะไปเถรตรงว่า ไม่ทำอะไรเลยปล่อยให้ชีวิตตายไป มันจะไม่ได้ประโยชน์ไปนี่ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ หมายถึงว่า ความจำเป็น ความตกต่ำของชีวิตนี่มันมีบางคราว ถ้าบางคราวนี่ ถ้ารักษาชีวิตไว้ เห็นไหม รักษาชีวิตไว้เพื่อแสวงหาโมกขธรรม รักษาชีวิตไว้เพื่อหาสัจจะความจริงของหัวใจ มันเป็นประโยชน์กับหัวใจ ถ้าตายไปซะมันก็ต้องตายไปหมดไป หมดจากชีวิตนี้ไป ไปเกิดใหม่
ไปเกิดใหม่นี่ เริ่มต้นจากเกิดใหม่ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ กว่ามันจะเกิดมาไร้เดียงสา กว่ามันจะรับรู้ ถ้าเป็นมนุษย์นะ ถ้าเป็นโอปปาติกะเกิดก็รู้เลย ๆ เป็นบุญกุศลไปเลย นี่เราต้องไปสะสมขึ้นมาใหม่ แล้วเจตนาอันนี้จะมีไหมในการทำคุณงามความดี ไปเจอแต่สิ่งแวดล้อม ไปเจอแต่มิจฉาทิฏฐิ เห็นไหม เกิดในครอบครัวที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เราจะโดนพ่อแม่จูงไปทางนั้นเลย
อย่างที่ว่าเราเป็นชาวพุทธนี่ ถ้าเราไม่รู้เรื่อง เห็นไหม ชาวพุทธเรานี่ชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน เพราะอะไร? เพราะพ่อแม่เป็นชาวพุทธ เราก็พุทธทะเบียนบ้าน แต่พุทธสอนว่าอะไร?...ไม่รู้ มีมากนะคนที่ไปเรียนเมืองนอกถามว่า ศาสนาพุทธสอนอะไร? ตอบเขาไม่ได้หรอก ตอบเขาไปร้อยแปดพันเก้าเพราะไม่ได้ศึกษาอะไรเลย เราชาวพุทธเห็นแต่พระ นี่ยกมือไหว้ผ้าเหลือง ๆ จนพูดกันนะว่า ไหว้ผ้าเหลือง ๆ
แต่ถ้าเป็นประสาพระเรา พระป่าเรา ถ้าไหว้ผ้าเหลืองก็ซื้อผ้าเหลืองไว้ที่บ้านสิ ซื้อผ้าเหลืองจากร้านมาไว้ที่บ้าน กราบผ้าเหลืองมันก็จบ...มันไม่ใช่ไหว้ผ้าเหลือง มันถึงว่าผ้าเหลืองเป็นผ้าเหลือง ผ้าเหลืองนี่มันเป็นอะไร? ใช่อยู่ ถ้าพูดถึงเรื่องจากปีก จากกระพี้เข้ามา ผ้าเหลืองนี่เป็นธงชัยพระอรหันต์นะ จีวรนี่เป็นธงชัยของพระอรหันต์ พระอรหันต์นี่ห่มจีวรเหมือนกัน เราเป็นพระภิกษุสงฆ์ เราก็ห่มจีวรนี้เหมือนกัน
แต่หัวใจของเรานี่ เขาว่าถ้าห่มผ้าเหลืองนี่เป็นธงชัยพระอรหันต์ เป็นเหมือนทองคำ แต่ห่อทองคำด้วยไหม หรือห่อสิ่งที่เป็นมูตรเป็นคูถ คือหัวใจที่เป็นมูตรเป็นคูถอย่างนี้ นั่นน่ะอันนั้นเป็นส่วนหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วผ้าเหลืองนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต สิ่งที่ไม่มีชีวิตคือห่อบุคคลนั้นไว้ แล้วบุคคลนั้นก็มีกิเลสในหัวใจ นี่ห่อสิ่งที่เป็นสกปรกอยู่
แล้วเป็นธงชัยพระอรหันต์ เห็นไหม ธงชัยเป็นเป้าหมายของเรา ถ้าเราทำถึงที่สุดแล้ว ผ้าเหลืองนั้นเป็นธงชัยพระอรหันต์ด้วย หัวใจนั้นก็เป็นสิ่งที่ว่าห่อหุ้มด้วยทองคำด้วย มันก็เป็นไปได้ด้วยดี ถึงว่า ไหว้ผ้าเหลือง ๆ ไหว้ผ้าเหลืองนี่เป็นประเพณี แต่จริง ๆ แล้วมันต้องคุณธรรมไง คุณธรรมหมายถึงว่า ทำไปตามประเพณี นั่นเป็นอย่างหนึ่ง ทำบุญด้วยความตั้งใจจงใจของเราเป็นอย่างหนึ่ง
นี้ก็เหมือนกัน เห็นยกมือไหว้อย่างนั้นมันก็เป็นความเห็นของเรา แต่ข้อวัตรปฏิบัติล่ะ? วิธีการที่จะเข้าถึงอันนั้นน่ะ ความเข้าถึงอันนั้นถึงเป็นธรรมไง นี่จริง ๆ แล้วคือวิธีการปฏิบัติ อันนี้ถึงจะเป็นเนื้อหาสาระของศาสนา อย่างเช่นเราทำบุญกุศลนี่ มันทำแล้วได้บุญกุศลมากตรงไหน? ตรงที่ใจมันเจตนา บุญกุศลเราจะทำนี่มันต้องมีสิ่งที่หามา เห็นไหม พลังงานของเราได้ใช้ออกไป
เราใช้พลังงานของเราออกไปนี่ แสวงหามา มีในพระไตรปิฎกนะ มีโยมเขานิมนต์พระไปฉันที่บ้านไง แล้วเป็นคนทุกข์คนจน พระก็กลัวว่าไปฉันบ้านนี้จะอด ก็เลยไปบิณฑบาตฉันเสียก่อน พอไปบ้านเขานี่คนมาช่วยงานมากเลย เขาก็ถวายอาหารมาก พอถวายอาหารมากพระก็ฉันได้น้อยเพราะฉันมาแล้ว เขาก็ถามว่า
ทำไมไม่ฉันข้าว?
ฉันมาแล้ว
เขาโกรธมากเลย โกรธที่ว่าเหมือนกับว่าดูถูกเขา เขาประชดประชันนะ เอาอาหารนี่ใส่บาตรเต็มเลย แล้วก็ให้พระกลับไป แล้วเขามานั่งคิดวิตกวิจารณ์ว่า เรานี่ทำบุญจะได้บาปไหม? ทำไมไปประชดพระ ไปทำพระอย่างนั้น ก็ไปถามพระพุทธเจ้า ตกเย็นไปถามพระพุทธเจ้าว่า
ทำบุญอย่างนี้จะได้บาปไหม?
พระพุทธเจ้าบอก ไม่หรอก ในเมื่อการทำบุญนะ แม้แต่ข้าวทัพพีหนึ่งใส่ไปในบาตรนั้น พระฉันข้าวทัพพีนั้น แล้วไปนั่งทำความเพียรเป็นความเพียรขึ้นมา เป็นสมาธิขึ้นมา บุญกุศลอันนั้นเป็นของเราทั้งหมด
มันก็เหมือนกับเราให้พลังงาน เราให้พระไป เราใส่บาตรไป พระฉันของเราแล้ว แล้วทำคุณงามความดี นี่คุณงามความดีนั้นเป็นของเราด้วย พระพุทธเจ้าว่าไว้อย่างนั้นจริง ๆ ในพระไตรปิฎก นี่เราแสวงหามาด้วยความเหนื่อยยากของเรา แล้วเราไปต่อชีวิตให้ดำเนินไป ทำไปแล้วได้คุณงามความดีในหัวใจดวงนั้น หัวใจดวงนั้นเบิกบานขึ้นมา
ดูพระเจ้าพิมพิสารบอกพระพุทธเจ้าไว้ เห็นไหม ตอนเจ้าชายสิทธัตถะหนีออกมาจากเมืองน่ะ ว่าให้เอากองทัพครึ่งหนึ่ง แล้วไปรบเอาชนะ เจ้าชายสิทธัตถะบอก ไม่ใช่หรอก ออกมานี้เพื่อแสวงหาโมกขธรรมจริง ๆ ก็เลยสัญญากันไว้ว่า ถ้าได้แล้วให้กลับมาสอนด้วย ถ้าได้ตรัสรู้แล้วนี่ให้กลับมาสอนด้วย พระพุทธเจ้าก็กลับไปสอนพระเจ้าพิมพิสาร จนพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน
อันนี้ก็เหมือนกัน เราอุปัฏฐากพระกันอยู่นี่ ก็เพื่อให้พระได้ศึกษาเล่าเรียน ให้พระได้ศึกษาปฏิบัติ เพื่อจะได้มีธรรมอันนั้น เพื่อจะมาสอนเรา เพราะเราไม่มีเวลาขนาดนั้น เราต้องแสวงหาความเป็นอยู่ของเรา เราแสวงหาความเป็นอยู่ของเราหนึ่ง ดำรงชีวิตของเราหนึ่ง แล้วเหลือสิ่งนี้มันสิ่งที่เหลือไง
นี่ประพฤติพรหมจรรย์ถึงว่า ชีวิตนี้ฝากไว้กับญาติโยม ชีวิตนี้ฝากไว้กับผู้ที่ใฝ่บุญกุศล เขาต้องการบุญกุศลมาก ขอให้พระเราประพฤติปฏิบัติจริง เห็นไหม มันถึงว่าอยู่ที่เนื้อหาสาระตรงนี้ นี่ศาสนาเราถึงจะเจริญรุ่งเรืองไป ในบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้
แล้วเราเป็นหมด ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นเจ้าของศาสนา เราก็ดูแลศาสนาด้วยกัน เห็นไหม การบิณฑบาต การออกแสวงหานี่ ถ้ามันถูกต้องเราก็เต็มใจ ถ้าไม่ถูกต้องเราก็ไม่เต็มใจ เห็นไหม เราไม่ส่งเสริมคนที่ทำความผิดอยู่ในศาสนา ศาสนามันก็เจริญขึ้นไป ๆ
นี่ถ้าวันพระ อันนี้เป็นการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราสร้างพระขึ้นมาได้องค์หนึ่ง เห็นไหม เราสร้างพระเพื่อไว้สืบทอดศาสนา ถ้าเราสร้างพระในหัวใจของเราขึ้นมา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม นางวิสาขาทำไมว่าเป็นพระโสดาบัน เป็นโยมแท้ ๆ เป็นพระโสดาบัน เพราะเป็นพระในหัวใจ ใจนั้นเป็นพระ แต่ร่างกายนั้นถึงจะเป็นคฤหัสถ์ก็จริงอยู่ แต่หัวใจเป็นพระ
นี้ก็เหมือนกัน เราสร้างพระที่ว่าในพุทธศาสนาเราส่งเสริมขึ้นไป นั้นเป็นบุญกุศลกลับมา ในมงคล ๓๘ ประการ เห็นไหม เห็นสมณะ เห็นผู้มีความสงบใจจริง ๆ ในร่างกายส่วนร่างกาย ความสงบของใจ เห็นอันนั้นเป็นบุญกุศลแล้ว นี่เราเห็นนะ
แล้วถ้าเราเป็นล่ะ? เราสร้างพระขึ้นมาในหัวใจของเรา เป็นชั้น ๆ ขึ้นไปนะ บุคคล ๘ จำพวก เห็นไหม บุคคลถึง ๘ คน เป็นเพราะเราคนเดียว เราคนเดียวเป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล เราก้าวเดินขึ้นไป นี่มันก้าวเดินขึ้นไป ๘ จำพวก
แต่เราหวังแต่ผล ๆ ๆ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทา เป็นอนาคา แต่โสดาปัตติมรรคอยู่ที่ไหน? สกิทาคามิมรรคอยู่ที่ไหน? อนาคามิมรรคอยู่ที่ไหน? อรหัตตมรรคอยู่ที่ไหน? ...มรรคไง มีมรรคถึงมีผล สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลย ศาสนาไหนไม่มีมรรคไม่มีผล มีเฉพาะในศาสนาพุทธนี้มีมรรคเท่านั้น...
(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)